ในฤดูนี้จะมีผักชนิดหนึ่งที่มีให้เห็นตลาดในภาคเหนือ ซึ่งจะมีให้รับประทานกันปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นในช่วงปลายฤดูหนาวไปจนถึงต้นฤดูร้อนเท่านั้น ผักพื้นบ้านดังกล่าวคือ "ดอกสะแล" ตามปกติแล้วสะแลจะเป็นผักป่า หรือผักที่ปลูกกันตามหัวไร่ปลายนา แต่มาในระยะหลังนี้ป่าไม้ถูกบุกรุกไปมากขึ้นจึงทำให้ดอกสะแลมีปริมาณที่ลดลงจึงทำให้มีราคาสูงขึ้น ซึ่งในบางช่วงราคาจะขยับขึ้นไปถึง กก.ละ 250-300 บาท เลยทีเดียว เนื่องจากสะแลเป็นผักพื้นบ้านจึงทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเจือปนของสารเคมีเกษตรมากนัก จึงสามารถรับประทานได้สนิทใจมากขึ้น
ลักษณะของสะแล
สะแลเป็นไม้เลื้อย ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาได้มาก แตกออกตามกิ่งแบบสลับ ก้านใบสั้นยางเพียง 2-3 มม. แผ่นใบบาง รูปไข่ยาว ปลายเรียวลงไปและปลายตัด โคนใบสอบเรียวลง กว้าง 2.5-7 ซม. ยาว 5-20 ซม. เส้นใบแบบขนนก ดอกออกกเป็นช่อแยกเพศต่างต้น เพศผู้มีเกสรเป็นเชิงลด ยาว 4-5 ซม. เพศเมียรวมเป็นกระจุก 3-5 อัน รูปทรงกลม กว้าง 5-7 มม.
สะแลจะมี 2 ชนิด ซึ่งจากลักษณะของลำต้นและใบภายนอกจะเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่ลักษณะของดอกคือ สะและดอกยาว และสะแลป้อม ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถรับประทานได้เหมือนกันแต่ที่นิยมกันจะเป็นสะแลป้อมซึ่งลักษะจะเป็นดอกลูกกลมๆ
ดอกสะแลเป็นรู้จักและนิยมในภาคเหนือ มีประโยชน์ในด้านอาหาร ใช้เป็นผัก มีรสมัน ออกดอกในฤดูร้อน ราวเดือนมีนาคม – เมษายน ในท้องตลาดมักพบดอกสะแลจำหน่ายในฤดูกาลดังกล่าว โดยนำดอกและผลมาปรุงเป็นอาหารไม่ว่าจะเป็น แกงส้ม แกงป่า แกงแค โดยนำเนื้อสัตว์ ปลา ปลาแห้งใส่เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ นำมาลวกจิ้มกินกับน้ำพริกก็อร่อยมากทีเดียว นอกจากนี้ดอกและผลของ สะแลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยจึงนับได้ว่าสะแลนอกจากอร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย
อ้างอิง : กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ http://fbd.forest.go.th/th/?p=5139