แม่น้อย...หรือ คุณแม่นวลน้อย ธารทองไพบูลย์ (นามสกุลเดิมคือ ธราปัญ )เป็นบุตรคนที่ 7 จากพี่น้อง 8 คนของ พ่ออุ๊ยก๋อง (คุณตา) และ แม่อุ๊ยทา (คุณยาย) เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2471 ที่ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งครอบครัวของแม่น้อยนั้นมีเชื้อสายของชาวยอง (ไทลื้อเมืองยอง) ที่อพยพมาจาก อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
ชีวิตในวัยเด็กของแม่น้อยนั้นก็ไม่ได้สบายอะไรมากนัก ซึ่งลูกผู้หญิงก็มักจะต้องทำงานบ้านอย่างหนัก และ คุณยาย และ คุณตา ก็ต้องมาเสียชีวิตลงเมื่อ แม่น้อยอายุได้ประมาณ 13-14 ปี เท่านั้น และได้รับการอุปถัมภ์โดยพี่สาวคนโต (แม่ดำ ธิติบดินทร์ ซึ่งแต่งงานกับซินแสชาวจีนเปิดร้านขายยาอยู่หน้าตลาดเทศบาลเชียงราย) ต่อมาอีกหลายปี ซึ่งจุดนี้เองแม่น้อยได้มีโอกาสศึกษา และเรียนรู้วิธีการประกอบยาแผนโบราณทั้งของไทยและ จีน จนสามารถสอบได้รับใบอนุญาติเป็นเภสัชกรแผนโบราณ ซึ่งร้านขายยาของจีนในอดีตนั้นจะขายสมมุนไพรต่างๆ รวมทั้งเครื่องเทศด้วยจึงทำให้แม่น้อยมีโอกาสได้เรียนรู้การผสมเครื่องเทศในสูตรอาหารจีน และไทยต่างๆ ไปด้วย และกลายมาเป็นความรู้สำคัญของอาชีพผลิตน้ำพริกแกงในเวลาต่อมา
ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ซึ่งในปี 2506 แม่นวลน้อย ธราปัญ ก็ได้สมรสกับ คุณพ่อสุจิตติ์ แซ่ตั้ง ซึ่งเป็นชาวลำปาง ในเวลานั้นแม่น้อยก็มีอายุได้ 35ปี แล้วซึ่งถือว่าแต่งงานช้ามากสำหรับผู้หญิงไทยในยุคนั้น และมีบุตรด้วยกันสองคน ซึ่งในช่วงแรกของการมีครอบครัวนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ลำบากที่สุดของแม่น้อยเนื่องจาก โรงสีข้าว ของคุณพ่อสุจิตต์ เกิดปัญหาทางธุรกิจขึ้น ถึงขั้นที่เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว แม่น้อยจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวจากลำปาง กลับมาอยู่เชียงรายตามเดิม
ในปี 2507 แม่น้อยได้ตัดสินใจนำเงินที่อยู่ก้อนสุดท้ายที่ได้จาการขายเข็มขัดนาค เพื่อนำมาซื้อที่ดินผืนหนึ่งชานเมืองเชียงราย ซึ่งที่ดินผืนดังกล่าวซื้อมาจาก “ป้าสุข น้ำเงี้ยว” (อีกหนึ่งตำนานน้ำเงี้ยวเชียงราย) และที่ดินผืนนี้เองที่ทำให้เรามีที่สำหรับดำเนินกิจการต่างๆ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ซึ่งในช่วงประมาณ 4-5 ปีแรกนั้น อาชีพหลักของแม่น้อย และคุณพ่อสุจิตติ์ก็คือ การเลี้ยงไก่ไข่ และการปลูกกล้วยหอมทองขายเพื่อนำเงินมาเลี้ยงลูกเล็กๆ 2 คน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง แม่สังเกตุเห็นว่าไก่เริ่มหงอย และ ตายไปทีละตัวสองตัวจนกระทั่งหมดเล้าเนื่องจาก อหิวาตกโรคในไก่ระบาด เนื่องจากแม่เป็นคนที่ศึกษาเรื่องธรรมะจึงเกิดความสงสารสัตว์ที่ตายไปจึงตัดสินใจเลิกทำอาชีพเลี้ยงไก่ และยังสั่งห้ามไม่ให้ลูกหลานทำอาชีพที่ต้องแลกด้วย เลือดเนื้อ และชีวิตของผู้อื่น ซึ่งในขณะที่เลิกทำอาชีพเลี้ยงไก่นั้น ตัวผู้เขียนเองก็น่าจะมีอายุประมาณ 4-5 ขวบเท่านั้น
หลังจากเลิกอาชีพเลี้ยงไก่ไข่แล้ว แม่น้อยก็หันมาจับอาชีพค้าขายอัญมณีจากทางฝั่งพม่าซึ่งต้องข้ามจาก อ.แม่สาย เข้าไปที่ท่าขี้เหล็ก เพื่อไปรับสินค้า แต่อาชีพดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางนำสินค้าไปเสนอลูกค้าอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งก็โดนลูกค้าโกงเงินไปบ้าง คือซื้อแล้วไม่ยอมชำระเงิน ประกอบกับแม่เริ่มมีอายุมากขึ้น อีกทั้งแม่น้อยเองก็ประสพอุบัติเหตุถูกรถขนส่งน้ำอัดลมชนจนขาหัก ระหว่างที่พักรักษาตัวนานประมาณ 3-4 เดือน แม่น้อยจึงมีความคิดว่าอาชีพขายอัญมณีจากทางพม่านั้นไม่ยั่งยืน และ ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้ซึ่งลูกๆ ก็กำลังโตซึ่งต้องใช้เงินเพื่อการศึกษามากขึ้น แม่จึงตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวเลิกธุรกิจดังกล่าวเมื่อสุขภาพเริ่มดีขึ้น และเดินได้อีกครั้งหนึ่ง โดยหันมาทำอาชีพขายอาหารปรุงสำเร็จในตลาดเช่น น้ำพริกตาแดง ใส้อั่ว และแกงผักตามฤดูกาล โดยความอนุเคราะห์จากพี่สาวให้พื้นที่เล็กๆ บนแผงในตลาดสดเชียงรายเพื่อยืนแทรกตัวขายอาหาร เนื่องจากแม่น้อยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ก็ทำให้มีผู้ที่ชื่นชอบในรสชาติอาหารของแม่น้อย และมักจะถามแม่ว่าทำอย่างไรอยู่เสมอ จนกระทั่งมีลูกค้ารายหนึ่งมาขอร้องให้แม่ช่วยทำน้ำพริกแกงให้เพื่อนำไปทำรับประทานเอง จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการขายพริกแกงครั้งแรก และจุดนี้เองเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในครอบครัวของเรา
เริ่มอาชีพใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อปี 2519 แม่น้อยจึงยุติการขายอาหารปรุงสำเร็จ เนื่องจากเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก และต้องเตรียมอาหารเพียงลำพัง เพราะคุณพ่อสุจิตต์เองก็ทำอาหารไม่เป็น และคุณพ่อก็ยังต้องทำงานนอกบ้าน ในปีนั้นเองคุณพ่อสุจิตต์เองก็ประสพอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้แขนหัก และต้องออกจากการเป็นผู้จัดการโรงสี จึงทำให้คุณพ่อ และ คุณแม่ปรึกษากันว่า เราจะขายน้ำพริกแกงแทนอาหารปรุงสำเร็จ โดยที่จะมีคุณพ่อสุจิตต์เป็นผู้ดูแลเรื่องการผลิตทั้งหมดตั้งแต่การตัดแต่งวัตถุดิบ การล้าง หั่น สับ บด โม่ ต่างๆ และแม่น้อยมีหน้าที่นำสินค้าไปขายในตลาด ซึ่งในขณะที่ครอบครัวของเราเริ่มธุรกิจน้ำพริกแกงนั้น แม่น้อยก็มีอายุถึง 48ปี แล้ว แม่น้อยได้เซ้งแผงขายผักในตลาดเทศบาลเชียงราย ซึ่งอยู่ติดกับเขียงเนื้อแล้วเปลี่ยนมาเป็นร้านน้ำพริกแกงแทน ในวันแรกของการขายน้ำพริกแกงนั้น แม่น้อยขายได้เพียง 86 บาทเท่านั้น ซึ่งคุณพ่อสุจิตต์ก็เป็นผู้ให้กำลังใจคุณแม่มาตลอดว่า “พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้” และในวันที่สองของการขายเราก็ขายได้ 127 บาท และยอดขายของเราก็เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยมาตลอด ในช่วงเริ่มต้นนั้นเราผลิตน้ำพริกออกมาเพียงไม่กี่อย่างคือ พริกกระเทียม (พริกดอง) พริกแกงเผ็ด พริกแกงเขียวหวาน พริกแกงคั่ว พริกน้ำเงี้ยว พริกแกงส้ม และน้ำพริกเผาเท่านั้น ส่วนปริมาณการผลิตก็ไม่เกิน 5 กิโลกรัมต่อชนิด ราคาขายในสมัยนั้นคือ 25 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
ร้านพริกแกงแม่น้อยเชียงราย ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ
อาชีพทำพริกแกงขายเป็นอาชีพที่หนักมาก และทำคนเดียวไม่ได้ เพราะจะต้องมีการผลิตสินค้าด้วย สำหรับงานด้านการผลิตนั้นคุณพ่อสุจิตติ์ จะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งท่านเป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องของคุณภาพมาก ซึ่งท่านก็มักจะย้ำกับพวกเราเสมอว่า
“ เราเองก็อยากกินสิ่งที่ดีๆ ดังนั้นเวลาที่เราทำให้คนอื่นกินก็ต้องทำให้ดีๆ เหมือนที่เรากินเอง”
ซึ่งในอดีตกว่าจะได้น้ำพริกแกงอย่างละเอียด ในการบดโม่พริกแกงหนึ่งชุดนั้นเราจะต้องโม่พริกแกงซ้ำๆกันถึง 12 รอบซึ่งเป็นงานหนัก เหนื่อย และน่าเบื่อมาก เพราะในสมัยนั้นเครื่องจักรอะไรต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนา เหมือนทุกวันนี้
ส่วนแม่น้อยเองก็งานหนักไม่แพ้กัน เพราะต้องตื่นนอนตั้งแต่ 03:45น. ของทุกวันเพื่อไปเปิดร้านขายของให้ทันก่อน 05:00น. ไม่มีวันหยุดพักเสาร์ หรือ อาทิตย์ ขายกันตั้งแต่ตีห้า ยันห้าโมงเย็นของทุกวัน บางวันยังมีลูกค้าตามมาซื้อถึงที่บ้านในเวลาหลัง 18:00น. ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันที่ฝนตก หรือ แดดออก วันใหนเป็นไข้ไม่สบายก็ต้องไปขายของ กิจวัตรของแม่ก็จะดำเนินไปแบบนี้ทุกวัน ผู้เขียนจำได้ว่าวันที่ทรมานที่สุดคือฤดูหนาว เพราะเชียงรายในสมัยนั้นมันหนาวมากจริงๆ ตอนเช้าๆ เวลาที่คุยกันก็จะมีควันออกจากปากเลย สำหรับฤดูฝนก็จะแย่ไปอีกแบบหนึ่ง วันใหนสามล้อรับจ้าง ที่เราให้มารับน้ำพริกแกงเข้าไปในตลาดเมาเหล้า ลุงสามล้อแกก็มักจะขี่รถสามล้อของแกตกลงไปในคูน้ำข้างทางเป็นประจำ ซึ่งทำให้น้ำพริกแกงเสียหายไปเป็นจำนวนมาก
ในช่วงแรกของการขายน้ำพริกแกงนั้นเราไม่ได้มีชื่อร้านอย่างในปัจจุบันนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้จักและเรียกว่าร้านแม่น้อยบ้าง ป้าน้อยบ้าง ตอนหลังแม่จึงตัดสินใจตั้งชื่อร้านว่า “ร้านพริกแกงแม่น้อย เชียงราย” ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยถามคุณแม่ว่าทำไมต้องมีคำว่า “เชียงราย” ด้วย แม่ก็ตอบว่าแม่เป็นคนเชียงราย และคนชื่อ “น้อย” ก็มีอยู่มากมายหลายจังหวัด นี่จึงเป็นที่มาครั้งแรกสุดของตราสินค้า “ตราแม่น้อย” ในปัจจุบัน
ร้านพริกแกงแม่น้อยเชียงราย ก็ยังอยู่ที่เดิมเฉกเช่น 40 กว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ผู้ดำเนินการในปัจจุบันคือ คุณไพลิน ผู้ซึ่งเข้ามาช่วยแม่ทำงานตั้งแต่ครอบครัวเรายังลำบาก
แม่น้อยเป็นคนที่ เด็ดเดี่ยว แข้มแข็ง และอดทนมาก เพราะนอกจากจะต้องดูแลลูก 2คน ให้ได้รับการศึกษาที่ดีแล้ว แม่ยังต้องดูแลคุณพ่อสุจิตต์ ที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองด้วย เนื่องจากการทำงานในโรงสีทำให้แกได้รับผู่นละอองเป็นเวลานาน และยังสูบุหรี่ด้วย ทำให้ช่วงสุดท้ายของคุณพ่อสุจิตต์ต้องอยู่ในความดูแลของ แม่น้อยโดยตลอด และในช่วงนี้เองที่แม่น้อยได้ตัดสินใจหาคนมาช่วยโม่พริกแกง และต่อมาได้กลายมาเป็นผู้รับช่วงดูแลร้านค้าในตลาดเชียงรายมาจนถึงปัจจุบัน กิจวัตรประจำวันของแม่น้อยจะเป็นกิจกรรมซ้ำๆ กันทุกวันมาโดยตลอดหลายปีโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งถึงปี 2534 คุณพ่อสุจิตต์ ผู้ที่ไม่ยอมประณีประนอมในเรื่องคุณภาพ ก็ได้จากพวกเราไป และหลังจากนั้นอีกไม่นาน แม่น้อยจึงได้เรียกลูกสาว (คุณเบญจวรรณ ธารทองไพบูลย์) กลับมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ซึ่งแม่เองก็ยังไม่ได้หยุดขายน้ำพริกในตลาด แกก็ยังคงเดินทางไปเปิดร้านค้าดัวยตัวเองแม้ว่าในขณะนั้นแม่น้อยจะมีอายุเลยวัยเกษียรไปแล้วก็ตาม แม่น้อยค่อยๆ เริ่มวางมือจากธุรกิจก็เมื่อประมาณปี พศ. 2540 หรือเมื่อก้าวสู่วัย 70 ปี
พริกแกงแม่น้อยในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้เราก็ยังคงดำเนินธุรกิจผลิตน้ำพริกแกง และนอกจากนี้เรายังแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ อีกด้วย เช่นผักดอง ผักอบแห้ง การผลิตของเราในปัจจุบันนี้ไม่ใช่วันละ 20-30 กิโลกรัม เหมือนในอดีต แต่วันนี้เรามีความสามารถในการบดโม่พริกในราว 500-600 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง และโรงงานผลิตสินค้าก็ไม่ได้อยู่ในบ้านเหมือนเช่นในอดีต แม้ว่าในช่วงแรกของการย้ายโรงงานแม่ดูเหมือนจะไม่อยากให้ย้าย แต่กระนั้นแม่น้อยก็ยังมีโอกาสได้ไปทำพิธีเปิดโรงงานใหม่ด้วยความภูมิใจ
วันที่แม่น้อยมาเที่ยวโรงงานใหม่ของพวกเรา
แม่น้อย ได้จากพวกเราไปในเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 08:50 ด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ 89 ปี แม้วันนี้จะไม่มีแม่น้อยแล้ว แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือชื่อของแม่น้อยที่ได้สร้างคุณูประการให้กับสังคมชาวเชียงรายเพราะธุรกิจเล็กๆ ของเราช่วยให้พนักงานกว่า 80 ชีวิตได้มีงานทำในพื้นที่ และ เกษตรกรอีกหลายครอบครัวมีรายได้จากการปลูกพืชเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงาน
|
![]() |
![]() |
![]() |
ดำเนินการจัดจำหน่ายโดย บจก.ธารทอง มาร์เก็ตติ้ง
23/367 ซอยประขาอุทิศ 76 ถนนประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140
ดำเนินการผลิตโดย บจก.ภาเบญ ฟู้ดส์
151 หมู่7 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57000